ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

หัดทำ

๒๘ ธ.ค. ๒๕๖๒

หัดทำ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “มองว่าธาตุ ๔ เป็นเครื่องมือได้ไหมครับ”

กราบนมัสการหลวงพ่อ หลังจากที่โยมได้ไปภาวนาที่วัดมา ๔ วัน โยมใช้อานาปานสติภาวนาสลับเดินจงกรม พอปฏิบัติได้เข้าวันที่ ๒ รู้สึกว่าเมื่อยล้าและไม่ได้สมาธิที่สงบมากขึ้นกว่าเดิม โยมจึงไปล้างหน้าและกลับมานั่งพักแบบตามสบาย ไม่เพ่งที่ลมแบบกำหนดลม นั่งพักแบบเหมือนออกกำลังกายมาเหนื่อยแล้วนั่งพักให้ลมพัดเย็นๆ นั่งพักแบบเฉยๆ ให้ผู้รู้รู้ว่านั่ง

สักพักเริ่มสงบเบากาย และคิดถึงจอบที่โยมใช้ปลูกต้นไม้ แล้วใบจอบมันงอหรือบิ่น ตัวเราไม่รู้สึกเจ็บ เลยโน้มเข้ามาที่ตัวว่า ธาตุ ๔ เราเหมือนจอบ มันเป็นเครื่องมือส่วนตัว ผู้ใช้เป็นผู้รู้

หลังจากนั้นเลยเดินจงกรมและดูมาที่ตัวผู้รู้ รู้ว่าเดินแบบปกติแต่มีสติตามดูผู้รู้ แล้วได้รับความสงบดีขึ้นเร็วขึ้น นั่งก็ดูที่ผู้รู้ลมและก็สงบนิ่งขึ้น คิดน้อยลง และตอนนี้โยมนำมาปฏิบัติอยู่ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน โดยดูที่ตัวผู้รู้ลมและคอยดึงกลับมาให้เร็วที่สุดเวลาที่คิดออกไป และเตือนว่ามันไม่เที่ยง พยายามทำแบบนี้ทุกครั้งที่หลุดไป และกำลังเตรียมจอบให้ขุดคุ้ยกับตัวผู้ใช้เพื่อจะได้ใช้ถากหญ้าแห้วหมู (โยมรำพึงว่าเป็นขันธ์ ๕) เพราะตอนนี้โยมทำได้แค่ถากกิเลส ยังไม่สามารถขุดและเผาเหง้าของมันได้ ต้องฝึกตัวผู้ใช้และจอบให้ชำนาญเสียก่อน

กราบนมัสการหลวงพ่อ การที่โยมมองธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ แบบนี้ถูกทางไหมครับ โยมขอขอบคุณหลวงพ่อมากที่เมตตาอนุญาตให้ภาวนาที่วัด และตอบคำถาม (ที่โยมไม่ถามพระอาจารย์ที่วัดเพราะโยมมีสมาธิไม่นิ่งพอ กลัวเวลาถามแล้วจะมองไม่ตรงกับใจ แล้วถามพระอาจารย์แล้วมันไม่เหมือนที่เขียนมาถาม)

ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถามๆ นี้เวลาถามมา ที่เราสะเทือนใจ ที่เราอยากจะพูดๆ ไง เวลาอยากจะพูด

ไปวัดไปวาแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะมีความจริงจัง เราจะทำให้ได้ไง เห็นไหม ๒ วันแรกเกือบตาย เขาบอกว่า มาถึงปฏิบัติ ๒ วันนะ มันรู้สึกเมื่อยล้า มันไม่รู้สิ่งใดเลย สุดท้ายแล้วโยมเลยไปล้างหน้าแล้วกลับมานั่งแบบสบายๆ กำหนดลมหายใจ นั่งสักพักหนึ่ง กำลังที่เหนื่อยได้พัก เพราะลมพัดลมเย็นๆ นั่งพักแบบเฉยๆ ผู้รู้มันหยั่งรู้ของมัน โอ้โฮ! มันสงบมันระงับ มันดีงามไปหมดเลย

นี่เวลาเราทำเหมือนกัน เวลาไปวัดไปวาเราตั้ง มันเหมือนกับเรามีเจตนา มันบีบคั้นตัวเอง เวลาบีบคั้นตัวเองแล้วทำสิ่งใดแล้วมันอยากจะได้ อยากจะเป็น อยากจะให้ได้ พออยากจะให้ได้นะ มันเครียด แล้วมันบีบคั้นตัวเองด้วย

แต่ถ้าเราไปแล้วนะ เราปฏิบัติสบายๆ ปฏิบัติสบายๆ ของเรา ภาษาเรา เรื่องของหัวใจ เราจะเอามันอยู่ได้ตลอดเวลาหรือ ถ้ามันจะดิ้นมันจะรน มันจะเป็นโคถึกนะ ปล่อยมันไปเลย แล้วเรากำหนดพุทโธของเราไว้

พุทโธๆ เพราะอะไร เพราะพุทโธมันก็พุทโธสักแต่ว่านั่นแหละ เพราะโคถึกมันปล่อยไปแล้ว เราก็พุทโธๆ สักแต่ว่าไป แต่ถ้าพุทโธสักแต่ว่านี่คือคำบริกรรม นี่เป็นข้อเท็จจริง เพราะอะไร เพราะมันเป็นหลัก

ไอ้ความคิดๆ ความคิดที่มันรุนแรงที่มันกระฟัดกระเฟียดมันไป ไอ้นั่นไอ้โคถึก โคถึกมันเป็นอารมณ์ไง มันกำลังของจิตไง มันไปของมัน แต่เวลาพุทโธๆ มันทั้งรังเกียจ ทั้งเหน็ดเหนื่อย ทั้งเป็นความลำบาก โอ๋ย! มันยุ่งไปหมดเลย

แต่ถ้ามันพุทโธๆๆ พอมันอยู่กับพุทโธได้ เออ! มันไม่น่ารังเกียจแล้วเนาะ มันชักดีขึ้นมาแล้วนะ ดีขึ้นมาเพราะอะไร เพราะกำลังที่มันกระฟัดกระเฟียด โคถึกที่มันไป มันไปไหนล่ะ

ภาษานี้มันเงา มันไปจากใจเรานี่แหละ มันไปจากกิเลสที่มันหลงใหล ที่มันไม่เข้าใจมัน มันก็กระฟัดกระเฟียดไป มันนึก ว่าตามสัญชาตญาณไง ตามความเคยชินของมันไง เพราะมันเป็นเจ้านายใหญ่อยู่กลางหัวใจไง มันจะทำอย่างไรก็ได้ตามใจมันไง มันก็กระฟัดกระเฟียดๆ ไอ้นี่จะเอาใหญ่เลยนะ จะข่มโคถึก เกือบตาย

อ้าว! มึงกระฟัดกระเฟียดก็ปล่อยไปเลย ไปไหนก็ไปซะ แล้วเราพุทโธของเรา

ทีนี้คำว่า พุทโธอย่างนี้” มันไม่ชัดเจนไง พอเราบอกว่า เราต้องพุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ มีสติมีปัญญาพร้อมไง

แต่ถ้ามันกระฟัดกระเฟียด กิเลสมันรุนแรง มันไปของมันแล้ว ถ้าเรายังจะตามกันอยู่ มันไปปล้ำกันอยู่นั่นน่ะ มันอยู่นั่นน่ะ ปล่อยมันไปเลย กลับมาพุทโธไว้ พุทโธๆ สักแต่ว่า สักแต่ว่าแต่ของจริง ของจริงเพราะมันเกิดจากจิต พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะคือความรู้สึกของเรา แล้วเราอยู่กับความรู้สึกของเรา

ไอ้ที่กระฟัดกระเฟียดๆ มันเป็นอารมณ์ อารมณ์เกิดจากจิตนี้เหมือนกัน พอเกิดจากจิตนี้เหมือนกัน แต่มันเป็นสัญชาตญาณ มันกระฟัดกระเฟียดไป มันกระฟัดกระเฟียดก็ปล่อยมันไป ปล่อยมันไป เพราะมันเกิดจากจิต ถ้าจิตไม่ตามไป มันก็ต้องดับ มันไม่มี เหมือนปิดไฟ มันไปไม่ได้หรอก

แต่เราไม่รู้ไง ตามมันไปเลย ก็ไปเติมไฟให้มันน่ะ มันก็ไปใหญ่เลย ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย แล้วก็บีบคั้นอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้าเวลาเดินจงกรมอยู่ ๒ วัน มันเมื่อยล้า มันไม่ได้อะไรเลย ตัดสินใจมานั่งล้างหน้า แล้วก็นั่งสบายๆ มันไม่มีการกดขี่บังคับต่างๆ นั่งตามสบายๆ มันเป็นของมัน

เพราะหนึ่ง ไม่มีความปรารถนา ไม่กดดัน ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ “สมาธิจะเป็นอย่างนั้นนะ สมาธิมันจะว่างๆ นะ สมาธิ” ไปศึกษากันมาเยอะไง พวกรู้ลึก รู้มาก ปัญญามาก สมาธิจะเป็นแบบนั้นๆ มันสร้างภาพหมดเลย

โยนมันทิ้งไป สมาธิเป็นอย่างไรเดี๋ยวมันก็เป็นเองนั่นล่ะ สมาธิมันเป็นอย่างไร เดี๋ยวก็จะรู้เองนั่นล่ะ ไม่ต้องบอกสมาธิจะเป็นอย่างนั้นๆ

เอ็งไปขีดกรอบไว้หมดเลย จิตมันจะเป็นไม่เป็น เอ็งก็ขีดกรอบมึงไว้แล้ว

เราทิ้งมันไปหมดเลย สมาธิมันเป็นสมาธิ มันจะเป็นเราเอง มันจะเป็นของมันเอง ถ้าเป็นของมันเอง เห็นไหม ไม่ต้องรู้ลึก

รู้ลึก ฟังธรรมะมาเยอะ ครูบาอาจารย์จะว่าอย่างนั้น แล้วคำถามนี้เวลาถามมานะ อาจารย์องค์นั้นว่าอย่างนั้น อาจารย์องค์นี้ว่าอย่างนี้

มึงเถียงกันอยู่นั่นน่ะ เถียงกันเรื่องสมาธิ แต่ไม่ใช่สมาธิ

ถ้าเป็นสมาธิแล้วเงียบ อาจารย์ไหนก็เรื่องของเขา กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อเพราะอาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อว่าเป็นความจริง ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อแต่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาที่มันเป็นหรือไม่เป็นอยู่นี่ เวลามันไม่เป็น ทุกข์ยากอยู่นี่ เวลามันเป็นขึ้นมา มันมีชื่อหรือไม่มีชื่อก็ไม่รู้ แต่กูสบาย

มันมีชื่อหรือไม่มีชื่อไม่รู้ เวลาเป็นสมาธิจริงๆ มันไม่มีชื่อ เวลาชื่อสมาธิมันเขียนไปเลยนะ สมาธิจะเป็นอย่างนั้นๆ นะ แล้วจะให้เป็นอย่างนั้นแล้วมันไม่เป็นน่ะ แต่ถ้าเวลามันเป็น เวลามันเป็นมันไม่มีชื่อ

สมาธิไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันเป็นสมาธิ เวลาสมาธิมันไม่มีชื่อ

แต่เราอยู่ในโลกสมมุติทางวิชาการไง เราก็จะต้องเอาให้ได้ อ๋อ! มันมีอารมณ์อย่างนั้นนะ มันจะเป็นอย่างนั้น

ใช่ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ แล้วเวลาทางการแพทย์ ทางการแพทย์จะบอกเลยว่า ถ้าเป็นไข้ เป็นไข้เพราะอย่างนี้ ถ้าป่วยมันต้องมีที่มาเป็นอย่างนี้

นี่ก็เหมือนกัน เวลานักปฏิบัติด้วยกันเขาจะคุยด้วยกันไง มันต้องวิตกขึ้นมาสิ วิตกขึ้นมา นึกขึ้นมา วิจารก็พุทโธๆ ไง เวลาเกิดปีติ ปีติมันเป็นอย่างนี้ๆ ชื่อเป็นวิชาการที่เราจะมาสื่อกันว่าไอ้นี่มันคือไอ้นี่

แล้วเวลาคนที่ปฏิบัติมานะ เวลามันได้หรือไม่ได้ก็บอกว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วถ้ามันเป็นอย่างนี้ปั๊บ มันเป็นปีติแล้วมันจะเป็นความสุข ความสุขแล้วถ้ามันติดสุขอยู่ เอกัคคตารมณ์ ตั้งมั่น เป็นสุขก็เป็นสุข สุขก็กอดสุขไว้ไง แต่ถ้ามันทิ้งหมดเลย มันมีกำลังของมัน จะว่าสุขก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ใช่สุขก็ไม่ใช่ แต่มันมั่นคงของมัน มีหลักการของมัน อันนี้เขาเอาไว้เวลาสื่อสารกัน ไม่ใช่ว่าจิตเป็นอย่างนั้นๆๆ

ที่ว่าเราบอกว่า ไม่ต้องรู้ลึก ไม่ต้องฟังมาก ไม่ต้องเข้าใจมาก

สิ่งที่เวลาทำไง มันไปเข้ากับที่ว่าเวลาหลวงตาเวลาท่านศึกษานะ หลวงตาท่านมีเป้าหมายว่า ท่านบวชแล้วท่านจะศึกษา ๓ ประโยคแล้วออกปฏิบัติ เวลาศึกษาแล้วเวลาไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกเลย “มหา มหาเรียนจนเป็นมหามานะ สิ่งที่เรียนมามันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอด เป็นมงคลชีวิต แต่เวลาจะปฏิบัตินะ เอาใส่ลิ้นชักสมองไว้แล้วลั่นกุญแจมันไว้อย่าให้มันออกมา ถ้าเวลามันออกมานะ ปฏิบัติไปมันจะเตะมันจะถีบกัน”

เวลาผู้ที่ปฏิบัติเวลาปฏิบัติไปจิตมันจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ มันอยู่ที่วาสนา

มันก็กลัวจะผิดๆ มันก็จะไปเหนี่ยวรั้งเอาทฤษฎีนั้นมาเป็นอย่างนั้น พอจิตมันจะเป็น อ๋อ! เป็นอย่างนี้แล้ว อ๋อ! เป็นอย่างนี้แล้ว นี่มันจะเตะมันจะถีบกันไง

โธ่! ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้วท่านรู้จักกิเลสมันดี กิเลสนี่รู้จักมันดี

เวลาคนที่ผิดหมองใจกันเขาทะเลาะกันนั่นเรื่องหนึ่ง คนเป็นเพื่อนกันดีกันมากเลยก็ทะเลาะกัน เวลามันเป็นทางชั่วเห็นไปหมดเลย เวลาเป็นทางดี ติดดีไง ติดดียิ่งแก้ยาก

นี่ก็เหมือนกัน “พระไตรปิฎกว่าอย่างนั้นนะ ธรรมะว่าอย่างนั้นนะ” โอ้โฮ! มันติดดีของมันไง แล้วเวลาเถียงกันปากเปียกปากแฉะเลย

ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลชีวิตนะ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสนทนาธรรม นั่นน่ะคือท่านตรวจสอบกัน นั่นยิ่งมหามงคลเลย

แต่เวลาเราคุยธรรมะกัน ตาแดงแล้ว เดี๋ยวจะขึ้นแล้ว เดี๋ยวจะล่อ แล้วคุยกันไปทำไมน่ะ คุยธรรมะเขาคุยหาเหตุผล ถ้าเหตุผลของใครที่มีน้ำหนักกว่า เหตุผลนั้น เราควรจะฟังเหตุผลนั้น แล้วเหตุผลนั้นเราต้องยอมรับ พอยอมรับแล้ว ไม่ใช่จะเถียงกันปากเปียกปากแฉะ นั่นน่ะเวลาเถียงกันอย่างนั้นไง

ฉะนั้น ถ้าเราคุยกับใครก็แล้วแต่เรื่องธรรมะ เวลาถ้ามันมีปัญหาขึ้นมา จบ นั่นมันเรื่องของเขา ไอ้นี่เป็นเรื่องของเรา ถ้าเรื่องของเรา เราเรียนภาคปริยัติศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาแล้วนะ ทรงจำไว้แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ

ตอนทรงจำไว้แล้วจะประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันจะพลิกแพลงเอาไปเป็นประโยชน์กับมันไง “จะเข้าสมาธิแล้ว จะเข้าสมาธิแล้ว” ไม่ได้กินหรอก “โอ๋ย! อย่างนี้เป็นปัญญาๆ ปัญญาเป็นอย่างนี้” นี่ไง หลวงปู่มั่นท่านถึงบอกว่ามันจะเตะมันจะถีบกัน

ฉะนั้น ทางทฤษฎี ทรงจำธรรมวินัยนี้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใส่ลิ้นชักสมองแล้วลั่นกุญแจมันไว้ ไม่ต้องให้มันออกมาหรอก

เวลาจะออกมา เวลาเรานั่งปกติเราทบทวนได้ ทบทวนได้ มาเปรียบเทียบได้ เวลาเปรียบเทียบ อ๋อ! แต่เวลาเข้าทางจงกรมแล้ว นั่งสมาธิแล้วอย่าให้มันออกมา เราพยายามทำให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา สติ สติสมบูรณ์มันไม่คิดฟุ้งซ่าน

เราบอกว่าฝึกสติๆ มันคิดไปจนรอบโลกเลย ฝึกสติ เออ! สติมันเป็นแบบนี้ไง มัน ส.เสือ ต.เต่า สระอิ

แต่ถ้าเราระลึกรู้อยู่สมบูรณ์แบบ อืม! ไม่มีชื่อ แต่กิเลสมันก็ไม่ฟุ้งซ่าน สติสัมปชัญญะนี้ควบคุมหัวใจได้

เราบอกเราฝึกสตินะ แต่ทุกข์น่าดูเลยล่ะ มันคิดไปร้อยแปดเลย ฝึกสติๆ

แต่ถ้าสติมันมามันสมบูรณ์แบบ จบ จบเพราะอะไร จบเพราะมันจะคิดไปไม่ได้ มันรู้เท่าทันหมดน่ะ นี่ฝึกสติ แล้วก็กำหนดพุทโธๆ พอฝึกสติแล้วมันหยุด มันเฉยของมันอยู่ เฉยแล้วทำอย่างไรต่อ

ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือพุทโธๆ ต่อเนื่องไป พุทโธต่อเนื่องไป พุทโธต่อเนื่องไป คำบริกรรมไง นวกรรม ใจมันมีการกระทำ

คนเราถ้ารวย เรามีฐานะขึ้นมาด้วยน้ำมือของเรา เราภูมิใจมาก มันต้องมีการกระทำขึ้นมาแล้วตรวจสอบบัญชี โอ้โฮ! ถูกต้องดีงามทั้งหมด

นี่ก็เหมือนกัน เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นวกรรม มีการกระทำ ถ้าจิตมันเป็นขึ้นมาถูกต้องชอบธรรม ถูกต้องชอบธรรมของจิตดวงนั้นที่มันสงบระงับแล้วมันมหัศจรรย์ในตัวของมันเอง

ถ้ามันมหัศจรรย์ในตัวของมันเอง ขนาดนี้แค่จิตสงบมันยังมหัศจรรย์ขนาดนี้ แล้วถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาแล้วมันปฏิบัติไป มันจะมหัศจรรย์ขนาดไหน

นี่มหัศจรรย์ในตัวของตัวเองนะ มหัศจรรย์ในใจของเราเองนะ มหัศจรรย์จิตดวงนี้ มหัศจรรย์ขนาดนี้ นี่ธรรม ธรรมเหนือโลกๆ ธรรมเหนือโลกมันเกิดจากที่นี่ไง เกิดจากหัวใจที่มันมีคุณธรรมจริงขึ้นมา

แล้วคุณธรรมจริงขึ้นมามันมาจากไหนล่ะ อะไรเป็นสิ่งที่เก็บสมบัตินี้ล่ะ

ก็หัวใจไง นี่บุญกุศล เวลาบุญกุศล คนเกิดมานี่บุญพาเกิด บุญพาเกิดขึ้นมา เกิดมาแล้วประสบความสำเร็จต่างๆ ร้อยแปด แล้วประสบความสำเร็จต่างๆ แล้วเป็นอย่างไรต่อ ตายไง

แต่ถ้ามันมีบุญกุศล เราประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ถ้าเราจะค้นคว้าหาความจริงในชีวิตของเรา ชีวิตนี้เกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม นี่ว่าเกิดจากพ่อจากแม่ไง เราเองเราก็ว่าเราเกิดจากพ่อจากแม่เหมือนกันนี่แหละ แต่กรรม กรรมของสัตว์ๆ เวรกรรม พันธุกรรม พันธุกรรมในใจที่มันพัฒนาขึ้น มันแยกออกจากโลกมาปฏิบัติ มันแยกออกจากโลกมา ถ้าแยกจากโลกมามันจะทำไม เพราะอะไร

เพราะจะไม่เกิดไง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เกิดก็ไม่มีปัญหา เพราะการเกิดอย่างเดียวถึงมีปัญหา ลองไม่เกิด ปัญหาไม่มี แล้วถ้ามันมาทำอย่างนี้ มันมาปฏิบัติของมัน

นี่ไง ถึงบอกว่า ถ้ามีอำนาจวาสนาประสบความสำเร็จทางโลกๆ นั่นก็ทางโลก ทางโลกมันมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ทางธรรมไม่มีใครเห็น มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ตัวของตัวเห็น

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเวลามาปฏิบัติ

เราจะบอกว่า ปฏิบัติไม่ต้องบีบคั้นตัวเองจนเกินไป แล้วไม่ใช่ว่าเรานี้เป็นนักปฏิบัติที่ยอดเยี่ยมมั่นคง ธรรมดามันเป็นอธิษฐานบารมี เป้าหมาย เป้าหมายเราก็มีของเรา เขาเรียกวาสนานะ

ถ้าวาสนานะ เวลาเราดูครูบาอาจารย์ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ เขามีสัจจะ พูดจริง ทำจริง ตั้งกติกาว่าจะทำอย่างไรต้องทำอย่างนั้น แล้วทำอย่างไรมันจะได้หรือไม่ได้ คำว่า ได้หรือไม่ได้” เราตั้งสัจจะอันนี้ มันเหมือนกับเวลานักกีฬาที่โอกาสที่จะกระทำไง

แต่ถ้าเราไม่ได้ตั้งสัจจะ เราไม่ได้ริเริ่ม เราไม่ได้ทำอะไรเลย ก็เราไม่มีเป้าหมายอะไรเลยไง ชีวิตก็ปล่อยให้มันลอยไปวันๆ หนึ่งไง

แต่ถ้าเราตั้งเป้าหมายปั๊บ แล้วทำให้สมบูรณ์แบบตามเป้าหมายนั้น ครบรอบที่หนึ่ง เออ! ยังไม่ได้เรื่องก็ไม่เป็นไร รอบที่สอง รอบที่สาม

ดูหลวงตาท่านนั่งตลอดรุ่งสิ นั่งแล้วนั่งเล่าๆ ถ้ามีวาสนา บางคนนั่งแล้วได้เลย แต่ถ้ายังไม่ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ก็บูชาพระพุทธเจ้า

เราใช้คำนี้ประจำ เราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรามาถวายทานกันมากน้อยแค่ไหนไม่สำคัญเท่าเราถวายตัวเราทั้งตัวนั่งสมาธิ เหมือนเรานั่งบนพานแล้วถวายพระพุทธเจ้าเลย แล้วเราทำของเราถวายพระพุทธเจ้าๆ แล้วถ้ามันเป็นจริง

ไอ้นี่ไม่อย่างนั้นน่ะ นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ มันวิตกกังวลไปทั้งสิ้นเลย

ฉะนั้นถึงว่า คำถามนี้ชอบใจ มาทีแรกก็ “ผมมาปฏิบัติที่วัดสี่วัน สองวันแรกอานาปานสติ ภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเลย รู้สึกว่าเมื่อย รู้สึกว่าไม่ได้ผลต่างๆ เลยนะ ไปล้างหน้าล้างตา”

มันเปรียบเทียบให้เห็นว่า ถ้าเจาะจง ถ้าคร่ำเครียดเกินไปมันจะเป็นผลอย่างนี้ ถ้าไม่เจาะจงไม่คร่ำเครียดเกินไป ไม่วิตกกังวล พอสองวันล้างหน้าแล้วมานั่งสบายๆ ลมพัดเหมือนกับการออกกำลังกาย ออกกำลังกายตอนเช้า วิ่งตอนเช้า เราก็วิ่งของเราเพื่อกำลังของเรา นี่เขาก็นั่งของเขาตามสบายๆ ลมพัดเย็นๆ สักพักหนึ่งเห็นผู้รู้ เริ่มสักพักมันเริ่มสงบลง เบากาย จิตพอเบากายขึ้นมามันเกิดปัญญาขึ้น พอจิตสงบแล้วนะ ถ้าจิตสงบเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น โอ้โฮ! มันดูดดื่ม

ไอ้ที่ปัญญาสมอง ปัญญาสามัญสำนึกเรา ปัญญาที่เกิดขึ้นมันเป็นปัญญาที่เราคิด เหมือนกับมีเรากับความคิดนั้น แต่ถ้ามีสมาธิแล้วมันเกิดปัญญา โอ้โฮ! มันเป็นธรรมสังเวช มันทำให้เกิดความสังเวช ให้จิตมันเห็นคุณค่า

คนเรานะ มันคิดอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นมุมมอง เทคนิค อู้ฮู! มันเห็นคุณค่า ไอ้นี่มันเกิดจากอะไร เกิดจากสมาธิ

บางคน บางทีเราจะแปลกใจนะ เวลาบางทีความคิดทำไมมันสุดยอดไปเลย แล้วทำไมมันคิดอย่างนี้ไม่ได้เรื่อยๆ

ไม่ได้หรอก ความคิดอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นจากถ้าทำสมาธิจิตมันสงบ

พอสักพักหนึ่งกายเริ่มเบาลง มันมีความสงบบ้าง ความคิดมันเกิดขึ้นๆ เวลาตัวมันนั่ง ตัวมันงอไง ตัวงอๆ มันก็คิดถึงจอบ เปรียบเทียบเหมือนร่างกายกับจอบ เขาบอกว่า เขาคิดว่าธาตุ ๔ เขาคิดว่าร่างกายเปรียบเหมือนธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันจะผิดไหม

อันนี้เป็นอุปมาอุปไมย คำว่า อุปมาอุปไมย” ไม่มีผิด เพราะอะไร เพราะเขาต้องกระตุ้นให้คิดไง เพราะความคิดเป็นความคิดของเรา คือเป็นปัญญาของเราไง

เราไปศึกษาในพระไตรปิฎก ศึกษาสิ่งใดมา เราไปจำเขามา เปรียบเทียบๆ แต่เวลามันเกิดกับเรามันถึงว่า โอ้โฮ! ยิ่งคิดมันยิ่งมีคุณค่าไง มีคุณค่านะ ฉะนั้น พอมีคุณค่ามันก็มีคุณค่าตอนนั้นนะ มีคุณค่าให้มันเป็นธรรมสังเวช เตือนเราไง

คำถามเขียนมาว่า ผมคิดว่าสิ่งที่ว่าร่างกายเปรียบเหมือนจอบ

ถ้าคิดว่าร่างกายเปรียบเหมือนจอบเพราะมันเห็นอยู่แล้ว จอบมันทั้งฟัน มันกินดินลงไป มันสับไปในดิน จอบมันสับลงไปมันไปเจอหิน จอบมันสับไป พอมันสับไป มันใช้ไป จอบมันงอ มันต้องมาลับ มาปรับปรุงของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายของเรา เวลาเราโตขึ้นมา เรามีชีวิตมา ๕๐ ปี ๖๐ ปี ร่างกายเราก็สมบุกสมบันมาเหมือนจอบๆ ไม่ผิด แต่เราบอกว่าไม่ผิด แต่มันเป็นปัจจุบัน มันใช้ตอนนั้นก็คือตอนนั้น ปัญญาตอนนั้นเกิดตอนนั้นมันก็มีประโยชน์ตอนนั้น แล้วถ้าประโยชน์ตอนนั้นน่ะ ถ้าเราจะมาคิดซ้ำสองซ้ำสามมันก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง

ไม่ใช่ว่าตัวเองเปรียบเทียบว่าตัวเองเป็นเหมือนจอบ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เปรียบเหมือนจอบแล้วมันจะมีความสดชื่นอย่างนี้ มันจะมีความดีงามอย่างนี้ มันจะคิดแล้วมันทะลุปรุโปร่งอย่างนี้...มันเป็นครั้งคราว

ถ้ามันเป็นปัจจุบันคือสดๆ ร้อนๆ มันมีความรู้สึกอย่างนั้น แล้วพอต่อไปมันก็เป็นอดีตแล้วมันเป็นอดีต เอาที่ปัจจุบันนี้

ฉะนั้นบอกว่า ถ้าคิดแบบนั้น คิดว่าตัวเองเปรียบเทียบตัวเองเหมือนจอบ

เพราะจอบ ถ้าเขาทำไร่ทำสวนเขาใช้จอบ มันเห็นมาตลอด มันคุ้นเคยมาตลอด แล้วรักษาจอบมาตลอด แล้วเวลาปัญญามันเปรียบเทียบ ถ้าเวลาปัญญาเรายังไม่ทันใช่ไหม เวลามันเปรียบเทียบมันก็เปรียบเทียบได้แค่นี้ไง

แล้วถ้าปัญญามันเจริญขึ้นมันจะบอกเลย เวลาชีวิตเรานี้เหมือนพลังงาน เหมือนไฟฟ้า ไฟฟ้ามันเข้าไปในเครื่อง เทคโนโลยีมันเข้าไปในคอมพิวเตอร์ โอ้โฮ! มันยิ่งไปใหญ่เลยนะ แล้วเดี๋ยวมันไปแฮ็กข้อมูลของคนอื่นมาเป็นประโยชน์อีกนะ นี่เวลามันคิดไปน่ะ

คำว่า มันคิดไป” มันต้องเป็นปัจจุบัน แล้วถ้ามันมีสมาธิ มันมีความสงบ มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

ฉะนั้น สิ่งที่เขาบอกว่า ปัญญาที่เขาบอกเขาเปรียบเทียบว่าร่างกายเขาเหมือนกับจอบ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เหมือนกับจอบ มันจะผิดเพี้ยนหรือไม่

นี่คือปัญญาในปัจจุบัน ปัญญาเกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศน์สอนพวกคฤหัสถ์เขาเป็นพวกเกษตรกรรม พวกต่างๆ ท่านก็สอนอย่างนี้แหละเปรียบเทียบ เพราะคำสอนคือต้องการให้คนฟังเข้าใจ คำสอนคือต้องการให้คนฟังรู้ว่ามันเปรียบเทียบแล้วมันจะปลดเปลื้องอย่างไร แล้วถ้ามันรู้ คนที่เขามีประสบการณ์อย่างไรก็พูดอย่างนั้นเพื่อให้เขาเข้าใจ

นี่ก็เหมือนกัน แต่พอคำถามถามถึงเรื่องปัจจุบันนี้ใช่ไหม

เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติ เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาปัญญามันเกิดจากพุทธะ เกิดจากพุทโธในหัวใจของเรา พอเกิดจากพุทโธในหัวใจของเรา เราเปรียบเทียบขึ้นมามันสดๆ ร้อนๆ มันมีคุณค่าจากหัวใจของเรา คือเราทำมาหากินด้วยตัวเราเองไง เราประกอบสัมมาอาชีวะแล้วได้ผลตอบแทนไง

แล้วถ้าคนที่มาปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลนะ เขาต้องไปกู้ยืมไง กู้ยืมก็ไปเปิดหนังสือ ไปฟังคนนู้น ไปฟังคนนี้ แล้วจริงไม่จริงก็ไม่รู้ แล้วกู้ยืมมันต้องเสียดอกนะ

แต่ถ้าเราทำของเราเอง เราปฏิบัติของเราเอง จะบอกว่า ที่เขาคิดอย่างนี้ใช้ได้หรือไม่ แล้วเปรียบเทียบนะ เขาเปรียบเทียบเลย เพราะว่าเขาขุดเพื่อหาหัวแห้วหมูต้องถากหญ้า แต่ตอนนี้เขายังทำสิ่งใดไม่ได้ เขาแค่ถากกิเลสๆ

คนเราถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะไม่ส่งไปในอนาคตไงว่าจะได้ผลมากมายมหาศาลอย่างนั้น เราที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันรู้อย่างใด มันรู้อย่างนั้น เพราะความรู้นี้มันก็เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ตรงไหน

เป็นประโยชน์ว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วเราเป็นชาวพุทธๆ เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเราจะอุปัฏฐากพุทธะคือหัวใจที่เป็นนามธรรม พอมันสงบขึ้นมา เราจะอุปัฏฐากพุทธะ

เราเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามันสงบแล้วนะ แล้วเวลามันฝึกหัดใช้ปัญญาๆ มันเกิดธรรมจักร พระพุทธ พระธรรม แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติไปนะ เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลส พุทธ ธรรม สงฆ์รวมเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจ

เวลามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นระดับของมัน มันจะเป็นชั้นๆ ขึ้นไป แต่เวลาเราเปรียบเทียบ เปรียบเทียบให้เห็นว่า ผู้ที่ทำแล้ว แล้วเขาประสบความสำเร็จเป็นอย่างนั้น แล้วของเรา เราจะทำของเรา เราก็พยายามขวนขวายของเรา

ถ้าพยายามขวนขวายของเรา จะบอกว่า ทำสบายๆ คำว่า ทำสบายๆ” คือไม่ต้องเคร่งเครียด แต่ต้องมีสตินะ

ไม่ใช่ทำสบายๆ ก็เลยนั่งจับกลุ่มคุยกันเลย สบายๆ นั่นไม่ใช่ ไอ้นั่นนินทากาเล

ทำสบายๆ ของเรา ตั้งใจให้ดี เข้าสู่ทางจงกรมแล้วไม่ต้องไปเกร็ง ไม่ต้องไปคาดหมาย ทำสบายๆ สบายๆ ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรามาวัดมาวาขึ้นมาเราก็ได้บุญกุศลอยู่แล้ว ถือศีล มีศีลมีธรรมมันก็เป็นบุญอยู่แล้ว แล้วเวลาภาวนาไปนี่เป็นบุญอยู่แล้ว แต่เราคาดหมายกันจนเกินไปไง พอเราคาดหมายไปแล้ว ความคาดหมายนั้นน่ะมันเป็นโทษมาบีบคั้นเราอีกต่างหาก แต่ทุกคนก็มีเป้าหมายอยากพ้นทุกข์ ทุกคนก็อยากมีความสุขทั้งสิ้น แต่มีความสุขให้มันเป็นความสุขความทุกข์ตามข้อเท็จจริง

แล้วความสุขความทุกข์ตามข้อเท็จจริงแล้ว เวลาประพฤติปฏิบัติ เวลาเรามาวัด อยู่บ้านทำงานมาทั้งเดือนเลย เหนื่อยน่าดูเลย ไปวัดอยากจะไปพักผ่อน ไอ้ความเหนื่อยอย่างนั้นมันงานของโลก มันงานของโลกคือหน้าที่การงานต้องหาเลี้ยงชีพ

แต่เวลาเราไปวัดเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา คิดว่าไปวัดแล้วจะได้พักผ่อน โอ้โฮ! ต้องมาเดินจงกรม มาถือเนสัชชิกไม่นอนเลยอย่างนี้ มาอดอาหาร เฮ้ย! นี่มันหนักกว่าอยู่ที่บ้านอีกนะ

มันหนักกว่าอยู่ที่บ้านเพราะเราพอใจว่าความทุกข์อย่างนี้มันจะพ้นทุกข์ ไอ้ที่เราทุกข์เรายากอยู่หน้าที่การงานของเรามันทุกข์หยาบๆ ทุกข์ที่มันจะทุกข์ต่อเนื่อง ทุกข์ที่มันจะทุกข์ต่อยอดไปไม่มีวันจบวันสิ้น

แต่เข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันเป็นความทุกข์ไหม

การทำงานมันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่เราพอใจ เราเชื่อมั่นในความเพียร ในความเพียร ในความวิริยะ ในความอุตสาหะ เรามีความเพียร มีความมุ่งมั่น มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ เพื่อจะให้จิตใจเราเป็นอิสระ จิตใจพ้นจากการครอบงำของครอบครัวของมาร พญามาร ครอบครัวของมาร เสนามาร เราจะพยายามพ้นจากมัน

แล้วเมื่อกี้บอกว่าบอกให้ทำสบายๆ ไง บอกไม่เคร่งเครียดไง

สบายๆ เริ่มต้นเราตั้งอย่างนั้น อย่าให้กิเลสมันหลอก แต่เรามีเป้าหมายของเราไง ถ้าเรามีเป้าหมายของเรา พอมีเป้าหมายขึ้นมา เพราะหลวงตาท่านพูดเอง พูดบ่อยมาก เวลาท่านพูดท่านเปรียบเทียบนะ แต่โยมจะเก็บได้เก็บไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง

ท่านบอกเลยนะ งานทางโลกเหมือนคนติดคุก วันหนึ่งเหลาตอก ๒ อัน เหลาไปเหลามาแค่นั้นน่ะให้มันหมดไปวันๆ หนึ่ง แต่ถ้ายังไม่ได้ภาวนา อย่าเพิ่งพูดนะว่างานหนักงานหนา งานภาวนางานสละชีวิตเอาตายเข้าแลก เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นั่งตลอดรุ่ง

นั่งเฉยๆ นี่ ๒๔ ชั่วโมงนั่งเฉยๆ พอมันนั่งเฉยๆ ขึ้นมา กิเลสมันโดนจำกัดที่ มันไม่สามารถออกไปตามอำนาจของมันได้ มันดิ้นพราดๆ มันจะทำให้เราเลิก ให้เราหยุด

แต่ถ้ามันมีสัจจะ ดิ้นเข้าไปเลย สติ สมาธิเท่าทัน มันจะพลิกไม้ไหนขึ้นมา ปัญญามันไล่เท่าทันหมดน่ะ จะเป็นจะตาย จะเป็นจะตายก็ให้มันตาย อะไรมันจะตายก่อน เวลามันเป็น โอ๋ย! ตอนนี้มันทุกข์มันยากทั้งนั้นนะ ทุกข์ยาก อยู่ในท้องแม่มันก็ยิ่งทุกข์กว่านี้ นี่มันไล่กันไง

คำว่า เวลามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา” เรามีสติ เรามีสมาธิ เรามีกำลังที่สามารถจะต่อกรกับกิเลส เมื่อนั้นเราถึงวิปัสสนา มันเป็นปัญญาที่การต่อสู้กับกิเลส

แต่ในปัจจุบันนี้เราไม่มีกำลังอะไรเลย เราไม่มีต้นทุนอะไรเลย แล้วเราบอกว่าเราเป็นนักรบ พอจะทำจริง ล้มทุกที

ฉะนั้น เราไม่มีอะไรเลย เราก็ไม่ต้องไปตั้งเป้าให้มันบีบคั้นตัวเอง เดินจงกรมสบายๆ นั่งสบายๆ พอมันสงบแล้วมันเป็นสมาธินะ อย่างที่ว่ามันเกิดนะ

ไอ้นี่เวลาเขานั่งสบายๆ แล้ว เขาคิดเหมือนตัวเขาเป็นใบจอบ แล้วเวลาจอบมันโดนหินโดนอะไรมันคดมันงอ

ปัญญานี้มันเกิดเองไง นี่สมบัติส่วนตน นี่ปัจจุบันธรรม เวลามันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาแล้วมันถึงกินใจเขา พอมันกินใจเขาแล้ว แต่กลัว กลัวว่ามันจะผิดหรือเปล่า

เราจะบอกว่า จิตใจเขามันเป็นที่ว่าไม่ทะเยอทะยานไม่เห่อเหิม ทำตามข้อเท็จจริง ไม่ทะเยอทะยานไม่เห่อเหิม ปฏิบัติเป็นปัจจุบันสมควรแก่ธรรม แล้วเวลาทำไปแล้วมันเป็นขึ้นมา เป็นขึ้นมาแล้วยังกลัวว่ามันจะไม่ใช่

นี่มันเป็นวาสนานะ ถ้าทำได้ ที่ว่าเปรียบเทียบ ทำความสงบใจได้โดยการไม่เคร่งเครียด อันนี้เป็นประเด็นหนึ่ง

ประเด็นที่สอง เวลาจิตมันสบายๆ แล้วเวลามันใช้ปัญญา มันคิดขึ้นมาได้เองว่า ร่างกายนี้เปรียบเหมือนจอบ จอบมันขุดดิน ขุดทำไร่ไถนา มันต้องสึกต้องหรอไป ชีวิตเราก็กัดกร่อนไป อายุมันผ่านไปตลอด ชีวิตนั้นเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกอย่างเหมือนกัน เปรียบเทียบได้ นี่คือปัญญาเปรียบเทียบ ถ้าเปรียบเทียบขึ้นมาแล้วมันเป็นปัจจุบัน มันเป็นสมบัติของตน ทำเพื่อตนไง

ฉะนั้นบอกว่า ไม่ต้องรู้ลึก ไม่ต้องรู้กว้าง ไม่ต้องปัญญาญาณ ให้มันสงบก็พอ แล้วจะเกิดปัญญา ไอ้อย่างนี้เกิดปัญญาแล้วมันสังเวช ปัญญามันเป็นอย่างนี้

ไม่ใช่ปัญญา นู่น จะสร้างยานอวกาศ จะไปดาวอังคาร ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ เราพิจารณาของเรา แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าคนมีการศึกษามามีความรู้อย่างใดมามันก็จะคิดอย่างนั้นน่ะ แล้วเวลาเราชนะ เราต้องชนะความคิดของเรา

คนมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรมันออกมาอย่างนั้นน่ะ แล้วเราฝึกหัดนี้เราพยายามทำความสงบของใจคือเราเอาชนะความคิดเรา เอาชนะตัวเอง ถ้าเอาชนะความคิดได้มันก็สงบ พอมันสงบขึ้นมา พอมันสงบบ่อยๆ เข้า มันปล่อยบ่อยๆ เข้า เดี๋ยวก็จะเหลือตัวมัน ตัวธาตุรู้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

แล้วถ้ามันคิดได้ ไอ้คำว่า คิดได้” มันก็วาสนาอีกน่ะ บางคนคิดไม่ได้นะ สงบแล้ว มันสงบหรือยัง มันสงบหรือไม่สงบ แต่เวลามันสงบแล้วมันคิดขึ้นมา นี่มันเป็นวาสนาของคนทั้งสิ้น มันเป็นวาสนาของเขา

แล้วถ้าเป็นจริงขึ้นมา ถ้าคำถามเขาถามมาว่า ที่ถามมานี่ถูกต้องหรือไม่ กลัวผิด

ถูก แต่ถูกแล้วมันเป็นสิ่งที่เราผ่านมาแล้ว แล้วเราจะทำไปข้างหน้ามันจะเกิดเป็นปัจจุบันอีก อย่าไปยึดเหนี่ยว อย่าไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งที่ประสบความสำเร็จหรือมันทุกข์มันยากมา

คนเรามันมีทั้งทุกข์ทั้งยากทั้งนั้นน่ะ ทุกๆ คนเคยสร้างบุญมาเคยสร้างบาปมาทั้งนั้น แล้วเราทำของเรา ตั้งสติของเรา เดินจงกรมของเรา นั่งสมาธิของเรา

ถ้ามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ เราจะบอกว่า ผู้รู้ผู้เห็นมันสุขมาก เคยมีเงินมีทองมากน้อยขนาดไหนนะ แต่พอเราจิตเราเป็นเอง อืม! มันเป็นของมันเอง มันมีค่า เราจะบอกว่า มันมีค่า แล้วสมควรแสวงหา แล้วไม่ต้องไปหาให้ใครหรอก หากลางหัวอกเรานี่แหละ เอวัง